รีวิว Love and Monsters Netflix อีกหนึ่งความบันเทิงที่ต้องหนีลงสตรีมมิง

สารบัญ

Love and Monsters Netflix เป็นหนังที่ตั้งชื่อได้สั้นแต่อธิบายเนื้อหาใจความของเรื่องราวได้ตรงเป๊ะ หนังจำลองเหตุการณ์ในโลกอนาคต เมื่อมีอุกกาบาตลึกลับมาตกลงบนโลกมนุษย์ ปัญหาคือเจ้าอุกกาบาตลูกนี้ดันพาเชื้อโรคมหาภัยมาด้วย ส่งผลให้สัตว์และแมลงกลายร่างเป็นอสุรกายตัวขนาดยักษ์กันไปทั่วโลก ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี มนุษยชาติโดนฆ่าตายไปถึง 95% ส่วนที่เหลือรอดต้องหลบไปใช้ชีวิตในบังเกอร์ใต้ดิน พระเอกของเราคือ โจล เด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่ต้องแยกจาก เอมมี่ แฟนสาว ที่รักกันดูดดื่ม ผ่านไป 7 ปี โจลสามารถติดต่อเอมมี่ได้ทางวิทยุสื่อสาร ทำให้รู้ตำแหน่งของบังเกอร์ของเอมมี่ว่าอยู่ห่างออกไป 136 กม. ด้วยความรักและคิดถึงเอมมี่มาก โจลตัดสินใจออกไปเสี่ยงชีวิตในโลกภายนอกเพียงคนเดียว ด้วยความตั้งใจจะดั้นด้นไปหาคนรักให้จงได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเพื่อน ๆ ร่วมบังเกอร์

Love and Monsters Netflix

Love and Monsters Netflix ผลงานสร้างจากค่ายพาราเมาท์เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่โดนผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19 อย่างชัดเจน เดิมทีหนังวางโปรแกรมออกฉายในโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ต้นปี ในวันที่ 6 มีนาคม 2020 ในช่วงที่ไวรัสกำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง หนังขยับออกมาหน่อยเป็น 17 เมษายน 2020 แต่แล้วสถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลาย โรงหนังปิดกันทั้งสหรัฐฯ ว่าแล้วก็ขอขยับอีกรอบ ข้ามปีไป 12 กุมภา 2021 กันเลย สุดท้ายในเดือนสิงหาคม พาราเมาท์ก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ฉายโรงภาพยนตร์มันแล้ว ปล่อยฉายในระบบสตรีมมิงตามเทรนด์นิยมมันไปเสียเลย แล้วหนังก็ปล่อยให้เช่าดูเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2020 นี้เป็นวันแรก ในราคา 19.99 เหรียญ เงินไทยก็ประมาณ 624 บาท

แค่ฉายมาได้ 2 วัน หนังก็ได้รับเสียงตอบรับในทางดีครับ คะแนนใน Rottentomatoes อยู่ที่ 90% จากนักวิจารณ์ 29 คน ส่วน IMDB อยู่ที่ 7.2 จากจำนวนสมาชิกโหวตที่ 2,310 คน ทำให้ต้องมาย้อนดูเครดิตทีมงานสำคัญกันสักหน่อย ทั้งที่ชื่อผู้กำกับ ไมเคิล แมทธิว ก็ช่างไม่คุ้นหูเอาเสียเลย พี่แกเป็นผู้อำนวยการสร้างมา 4 เรื่อง กำกับหนังยาวมาแค่เรื่องเดียว แต่มีเครดิตสำคัญคือเคยผ่านงานเป็น ศิลปินฝ่ายวิชวลเอฟเฟกต์มาก่อน ก็เลยเข้าทางกับหนัง Love and Monsters ที่อุดมไปด้วยงานภาพวิชวลเอฟเฟกต์ ส่วนมือเขียนบทตกเป็นของ ไบรอัน ดัฟฟิลด์ และ แมทธิว โรบินสัน ที่พอดูเครดิตแล้วก็ต้องชื่นชมว่าเป็นการจับคู่ที่ลงตัวอย่างมาก เพราะ ไบรอัน ดัฟฟิลด์ นั่นเคยมีผลงาน Underwater หนังสัตว์ประหลาดใต้ทะเลสายดุที่เพิ่งออกฉายไปเมื่อต้นปี ส่วน แมทธิว โรบินสัน ก็เคยมีผลงาน Monster Trucks หนังสัตว์ประหลาดน่ารักเอาใจกลุ่มคนดูรุ่นเล็กเมื่อปี 2016 ประสบการณ์ของทั้ง 3 จึงนับว่าเป็นทีมงานที่ลงตัวสำหรับหนังสัตว์ประหลาดอารมณ์ดีในสไตล์หนังครอบครัวเรื่องนี้

เพราะว่าหนังมาในเรต PG-13 เป็นส่วนผสมของ ผจญภัย และ คอมมีดี้ บนพื้นฐานของเรื่องราวเลิฟสตอรี่ หนังก็เลยออกมาในแนวปลอดสารพิษ ดูกันได้ทั้งครอบครัว แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคอแอ็กชันอาจจะร้อง ว้า! งั้นคงไม่มีฉากลุ้นระทึกตื่นเต้น ก็ต้องบอกกันว่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้น หนังเดินเรื่องเร็ว ปูความกันตั้งแต่เครดิตต้นเรื่องผ่านเสียงบอกเล่าของ โจล พระเอกของเรื่อง ผ่านไปแค่ 20 นาที โจลก็ออกมาผจญภัยแล้ว เมื่อชื่อหนังมีคำว่า Monsters หนังก็จัดให้จุใจล่ะครับ สัตว์ประหลาดออกมาเพ่นพ่านให้เห็นกันหลายตัว มีการดีไซน์ที่ดี ดูออกว่าพื้นฐานมาจากตัวอะไร ดูมีพิษสงแล้วยังเจือความบริสุทธิ์ให้เห็นได้ในแววตา บางตัวก็มาสายโหดเลยล่ะ บางตัวก็มาแบบใส ๆ แต่ยังไงก็ไม่มีฉากฆ่ากันให้เห็นจะ ๆ แต่ทุกครั้งที่สัตว์ประหลาดออกมาก็มีฉากไล่ล่ากัน คนดูก็ต้องลุ้นให้โจลหนีรอดปลอดภัย ส่วนหนึ่งที่มีผลอย่างมากให้คนดูต้องเอาใจช่วยโจล ก็เพราะการปูพื้นหลังให้คนดูได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่หน่อมแน้ม ตอนอยู่ในบังเกอร์ก็รับหน้าที่พ่อครัว ไม่เคยได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมบังเกอร์ให้ออกไปพะบู๊เลยสักครั้ง พอวันที่เขาตัดสินใจขอลุยเดี่ยวออกมาเผชิญโลกภายนอก ก็มีแต่คนคิดว่าเขาไม่น่าจะมีชีวิตรอด และทุกครั้งที่มีสัตว์ประหลาดมา ก็มาแบบน่าตื่นเต้น เพราะค่อย ๆ โผล่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ มาก่อน มีเสียงนำ ให้เราคอยลุ้นไปเดาไปว่าจะเป็นตัวอะไร

ดีแลน โอ’ไบรอัน พระเอกของเรื่องนี่เรียกได้ว่าหายหน้าไปเลย ตั้งแต่จบไตรภาค Maze Runner: The Death Cure ในปี 2018 มาเรื่องนี้ก็ยังได้รับบทที่ใกล้เคียง โธมัส ใน Maze Runner คือยังเป็นเรื่องราวในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยอันตราย แล้วเขาก็ยังต้องวิ่งหน้าตั้งหนีสัตว์ประหลาดเช่นเคย แม้ว่าหนังจะมีนักแสดงสมทบมากมาย แต่รายที่โดดเด่นและน่าจะได้รับการจดจำที่สุดจากเรื่องนี้กลับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น บอย หมาพันธุ์ ออสเตรเลียน เคลพี ที่เป็นเพื่อนร่วมผจญภัยกับโจลไปตลอดทาง แล้วบทก็เขียนให้เจ้าบอยนี่มีบทบาทอย่างมาก แถมมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของโจลอีกด้วย แค่บทบอยนี้ ทีมงานต้องใช้หมาถึง 2 ตัวคือ ฮีโร และ ดอดจ์ สลับกันเข้าฉาก ส่วนดีแลน โอ’ไบรอัน ก็ต้องทำการบ้านอย่างมาก ด้วยการใช้เวลาฝึกกับหมา 2 ตัวนี้จนทั้งคู่รักและสนิทกับดีแลน ถึงขั้นว่าถ้าฉากไหนที่ฮีโรและดอดจ์ต้องแสดง แต่ดีแลนไม่ได้แสดงด้วย ดีแลนจะห้ามโผล่หน้าเข้ามาใกล้กองถ่ายเด็ดขาดไม่งั้นเจ้า 2 ตัวนี้จะวิ่งหาแต่ดีแลนแล้วก็ถ่ายทำกันไม่ได้สักที ส่วนนักแสดงที่มีชื่อเสียงก็เห็นมีเพียงแค่ ไมเคิล รูเกอร์ จาก Guardians of the Galaxy อีกรายเดียวเท่านั้น ที่โผล่มาเป็นสีสันช่วงกลางเรื่อง

นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ดูบนจอภาพยนตร์ เชื่อว่าถ้าดูบนจอใหญ่จะต้องได้อรรถรสมากว่านี้ เพราะเป็นหนังที่มีความหลากหลายทั้งอารมณ์ขัน ดราม่าซาบซึ้งพอควร ลุ้นระทึกไปกับบรรดาสัตว์ประหลาด ที่ผสมผสานกันได้ลงตัว หนังยังคงปัจจัยหนังครอบครัวไว้ได้ ด้วยการอดแทรกสาระที่พ่อแม่สามารถหยิบมาชี้นำบุตรหลานได้ในเรื่องความกล้าหาญ ความมั่นใจ ความรักในครอบครัว และการให้อภัย ไม่ใช่ว่าสัตว์ประหลาดที่เห็นจะดุร้ายไปเสียทุกตัว งานซีจีโดยรวมถือว่าเนี้ยบ ไม่มีฉากหยาบ ๆ ให้สะดุดตา มีงานขายภาพมุมกว้างบ่อยครั้ง ก็ถือว่าได้งานที่ออกมาคุ้มทุนสร้างที่ 28 ล้านเหรียญ ก็หวังว่าพาราเมาท์ตัดสินใจปล่อยลงสตรีมมิงแล้วจะได้ทุนคืนนะครับ วันนี้หนังลง NETFLIX เรียบร้อยแล้ว กดดูตามลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

จุดเด่น

  • ครบถ้วนทั้งสาระบันเทิง ดูได้ทั้งครอบครัว
  • งานออกแบบสัตว์ประหลาดดูดี มีทั้งความน่ากลัวและความไร้เดียงสา
  • แม้ว่าไม่มีฉากโหด แต่ทุกครั้งที่สัตว์ประหลาดออกมา ก็ยังได้ลุ้นระทึก
  • หมา บอย น่ารัก เล่นได้เก่ง มีบทบาทเยอะ

จุดสังเกต

  • ถ้าได้ดูบนจอใหญ่น่าจะสนุก ได้ลุ้นกับสัตว์ประหลาดมากกว่านี้ Love and Monsters Netflix
  • โดยรวมหนังค่อนข้างเอาใจผู้ชมรุ่นเล็ก ค่อนข้างโลกสวย ไร้พิษภัย อาจจะขัดใจคนดูสายแอ็กชันจริงจังอยู่บ้าง

บทความที่น่าสนใจ